ความดันเลือดสูง ภัยเงียบที่ไม่...
ReadyPlanet.com


ความดันเลือดสูง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม


ความดันเลือดสูง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

         วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี ถูกจัดตั้งให้เป็นวันความดันเลือดสูงโลก (World Hypertension Day) เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนได้ตื่นตัว และตระหนัก เห็นความสำคัญของการป้องกันโรคความดันเลือดสูง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโรคฮิตที่คร่าชีวิตคนไทยและคนทั่วโลก

โรคความดันเลือดสูงคือ

         สภาวะของระดับความดันเลือดที่สูงกว่าระดับปกติ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีความดันเลือดปกติจะวัดค่าความดันได้ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่ผู้ที่มีความดันเลือดสูงจะวัดค่าความดันได้ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป และถือว่าเป็นสภาวะที่ต้องได้รับการควบคุมตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากอาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนและโรคต่าง ๆ มากมาย เช่น ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดในสมอง โรคไตเสื่อม เป็นต้น

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

         ความน่ากลัวของโรคความดันเลือดสูงคือผู้ป่วยส่วนใหญ่กว่า 90-95 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจนได้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร ทำให้โรคความดันเลือดสูงถูกขนานนามว่า “โรคเพชฌฆาตเงียบ” โดยทางการแพทย์นั้นได้อธิบายโรคความดันเลือดสูงนี้ว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์ เช่น เกิดจากกรรมพันธุ์ และอายุที่มากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะพบได้มากในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40-50 ปีขึ้นไปหรือวัยหมดประจำเดือน

วิธีรักษา

         แม้โรคความดันเลือดสูงจะเป็นโรคที่อันตราย แต่ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ในระยะยาวหากได้รับการรักษาที่ทันท่วงที โดยเบื้องต้นจะรักษาด้วยวิธีการให้ยาลดความดันเลือด เพื่อรักษาระดับความดัน ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากการรับประทานยาแล้ว ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

สิ่งที่ควรทำ

- หมั่นตรวจวัดความดันเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

- รับประทานอาการให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก และผลไม้ชนิดที่ไม่หวาน

- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

- ออกกำลังเป็นประจำ

- พักผ่อนให้เพียงพอ

- รักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอ ไม่เครียด

สิ่งที่ไม่ควรทำ

- สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ ตีบตัน ของหลอดเลือดต่าง ๆ รวมทั้งหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดไต

- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีโอกาสเป็นโรคความดันเลือดสูงถึงร้อยละ 50

- กินอาหารที่มีรสเค็ม หรืออาหารที่มีโซเดียมมากเกินไป เช่น กะปิ นํ้าปลา ของหมักดอง

- กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อติดมัน หนังสัตว์ ไข่แดง หอยนางรม อาหารประเภทผัดหรือทอด

- กินอาหารที่มีรสหวาน หรือน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน ขนมหวาน



ผู้ตั้งกระทู้ ananchait กระทู้ตั้งโดยสมาชิก :: วันที่ลงประกาศ 2022-02-03 00:39:59


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล